การมาของ Blockchain & Cryptocurrency

Blockchain

สารบัญ

1.Fiat Currency คืออะไร

2.ปัญหาของระบบ Centralize

3.Blockchain คืออะไร

4.Cryptocurrency เงินสกุลดิจิตอล

5.เงินดิจิทัลที่ ก.ล.ต. อนุญาตให้ซื้อ-ขายได้

6.สรุป

 

Blockchain คืออะไร แล้วมีผลอะไรกับเราไหม Cryptocurrency (สกุลเงินดิจิทัล) จะเข้ามาแทนที่ Fiat Currency(เงินกระดาษ) ได้จริงๆหรือไม่ วันนี้เราจะพาทุกคนรู้จักและเข้าใจ ที่มาและที่ไป เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวรับกับกระแสหลัก และจะวางตัวเราอย่างไร พร้อมแล้วไปดูกันเลย

1.Fiat Currency คืออะไร

Fiat Currency หรือเงินกระดาษที่เราใช้ๆกันอยู่ทุกวันเกิดจากรัฐบาลกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลาง ในการแลกเปลี่ยน และใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลกลางจะเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง แต่ก่อนการจะพิมพ์แบงค์ ต้องมีทองคำสำรองไว้ด้วย แต่สมัยนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วในหลายๆประเทศ ปัญหาที่ตามมาคือ เงินเฟ้สูง เพราะปริมาณเงินที่เพิ่มเข้ามาในระบบ และตามมาด้วยข้าวของแพง ประเทศก็เหมือนกับบริษัท ที่จะต้องบริหารให้อยู่รอด ไม่ล้มจม แต่เราก็เห็นแล้วว่า มีหลายประเทศที่ระบบการเงินพังพินาศ ซึ่งเราจะไม่ลงลึก มันจะยาวเกินไป เข้าใจหน้าที่ของเงิน

– เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of exchange)

– เป็นที่เก็บรักษามูลค่า (Store of value) ขออธิบายเรื่องนีั้สักนิด การไม่เสื่อมสภาพ ไม่เน่าเสีย หรือมันยังคงมีมูลค่าคงเดิม เราจะเห็นว่าตอนนี้เงินกระดาษชักจะไม่เป็นเช่นนี้แล้วสิ เพราะการที่รัฐบาลแต่ละประเทศต่างพากันพิมพ์แบงค์ ออกกันมามากมาย

– เป็นหน่วยวัดมูลค่า (Unit of account)

ของขวัญไอที สุดอินเทรนด์ 2021 งบไม่เกิน 500.-

เงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย
– รายการส่งเสริมการขายนี้เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ และช้อปผ่าน Bnn.in.th เท่านั้น
– รายการส่งเสริมการขาย มีผลระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. 2564 – 31 ธ.ค. 2564 เท่านั้น
– บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงราคา, ส่วนลด ,ของแถมและเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
– หากมีข้อสงสัยกรุณาติดต่อสอบถามข้อมูล 02-017-7788 ทุกวันเวลาทำการ 09:00 – 19:00 น.

2.ปัญหาของระบบ Centralize

1.ความไม่ปลอดภัย ในหลายๆครั้งที่เราได้เห็นข่าว ว่ามีคนเงินหายจากบัญชี ไม่ว่าจะเกิดจากการถูก Hack หรือ ถูกปลอมแปลงเอกสาร ทำให้เกิดเงินหายจากบัญชีผู้เสียหาย

2.ระบบช้า เป็นระบบที่ต้องนำข้อมูลทุกอย่างมาที่ศูนย์กลางและประมวลผล 

ยกตัวอย่างเราต้องการโอนเงินไปต่างประเทศ จะต้องมีขั้นตอน และกินเวลานาน 4 -5 วันเลยทีเดียว

3.ต้องอาศัยความเชื่อใจ เชื่อถือ แต่เราก็เห็นกันอยู่ว่าหลายธนาคารล้มประสบปัญหา จนทำให้คนรับเคราะห์คือประชาชน

4.ระบบ (Centralize) ของการเงินแบบเดิมๆ ที่ไม่สามารถรักษามูลค่าของมันไว้ได้ เกิดความเหลื่อมล้้าอย่างมากต่อคนในสังคม ทำให้มนุษยชาติต้องเป็นทาสของนายธนาคาร และมหาเศรษฐีไม่กี่ตระกูล ก็ว่าได้ 

จนกระทั่งปี ค.ศ.1991 หรือ30ปีมาแล้ว คนกลุ่มหนึ่ง(ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร)เห็นปัญหาใหญ่นี้และต้องการให้คนปลดแอกจากอำนาจเดิมๆ ได้คิดค้นเทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain นี้ขึ้นมา

3.Blockchain คืออะไร

Blockchain คือ การเก็บข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสทางคอมพิวเตอร์เพื่อความปลอดภัย จากนั้นนำมาร้อยต่อกัน เหมือนโซ่คล้อง หรือ Chain  ทำให้รู้ว่าข้อมูลเก็บเวลาใด มีการแก้ไขหรือไม่ และข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งและกระจายไปไว้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่อยู่ในเครือข่าย ในทางทฤษฏีเราจึงเชื่อว่า ข้อมูลจึงมีความน่าเชื่อถือ เพราะทุกคนบนเครือข่าย เห็นการเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน ถ้าใครอยากจะ Hack จะต้องเข้าไปแก้ไข ข้อมูลในเครื่องประมาณครึ่งนึงของเครือข่ายถ้าเราจะพูดว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยนำมาซึ่งความปลอดภัย น่าเชื่อถือ โดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง ก็ว่าได้

 

รูปที่1

Blockchain

จากรูปที่1 ขออธิบายดังนี้

  • Blockchain เก็บข้อมูลเป็น Block รูปแบบที่เรียกว่า Open ledger ข้อมูลใน Transaction ถูกเปิดเผย จากตัวอย่างเป็นข้อมูลการโอนเงิน จากใคร ไปให้ใคร จำนวนเงินเท่าไหร่ เป็นข้อมูลที่ไม่ได้เข้ารหัส ทุกคนสามรถตรวจสอบได้ ส่วนโอนจากใคร ไปให้ใครนั้นจะเห็นเป็น รหัสยาวๆ ซึ่งก็คือ Address หรือ Public Key
  • Hash คือ Transaction data ที่เข้ารหัส ด้วย SHA256
  • Prev เก็บข้อมูล Hash  ของ Block ก่อนหน้า เราจึงเรียกว่า chain ถ้าเป็น Block แรกค่า Prev จะเก็บเป็น 0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000
  • Nonce คือ ตัวเลขที่นักขุดเหรียญ ทำการซุ่มตัวเลข เพื่อจะได้เป็นคนสร้าง Block 

 

รูปที่2

Blockchain

ข้อมูล Blockchain จะถูกกระจายไปทุกNode ทั่วโลก ซึ่ง Node ก็คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ Miner(นักขุดเหรียญ) นำเข้ามาร่วมในการตรวจสอบธุรกรรม ข้อมูลนี้ทุกคนจะเห็นเหมือนกัน แล้วถ้ามีใครอยากทุจริต แก้ไขหล่ะจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

รูปที่3

Blockchain

ถ้าใครก็ตามที่เข้าไปแก้ไขข้อมูลใน Blockchain จากรูป Block2 จะเห็นว่า Ripley โอนเงินให้ Lambert เป็นเงิน 97.67 $ ถ้าแก้ไขจำนวนเป็น 20,000 $ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ

  • จากเดิมข้อมูลที่ถูกบันทึก Hash ขึ้นต้นด้วย 0000 ข้อมูล Hash ถูก Generate ใหม่ 
  • ข้อมูลต้องแต่ Blockที่2 เป็นต้นไปบอกถึงความผิดปกติของข้อมูล
  • ข้อมูลใน Peer A จะไม่ได้รับการยอบรับอีกต่อไป

 

ปัจจุบัน เทคโนโลยี Blockchain ถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรมแล้ว ธุรกิจการเงิน เป็นที่แรก ที่ Blockchain ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้ ปัจจุบันเราเห็น Cryptocurrency เกิดขึ้นมาหลายสกุลแล้ว 

4.Cryptocurrency เงินสกุลดิจิตอล

Cryptocurrency เงินสกุลดิจิตอลนี้ สร้างจากเทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้สร้างขึ้นจากหน่วยงานใดๆ ในเหรียญ แต่ละเหรียญ Cryptocurrency จะมีข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าของ และส่งให้ทุกเครื่องบนเครือข่าย (Peer) ดังนั้นทุกคนในเครือข่ายจะสามารถเห็นยอดคงเหลือของทุกบัญชีได้ ทีนี้เรามาดูกันว่าวิธีการทำธุรกรรม Cryptocurrency มีหลักการอย่างไร

  • คอมพิวเตอร์ส่วนตัวบนเครือข่าย(Peer) จะมี Public Key เปรียบเสมือนเลขบัญชี และ Private Key การเข้ารหัส หรือลายนิ้วมือ
  • เราต้องใช้ Private Key เพื่อเข้าบัญชีส่วนตัว แล้วระบุจำนวนเหรียญ เพื่อโอนไปยัง Public Key ของผู้รับ ข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกใน Blockchain แล้วเข้ารหัส Hash Function แล้วส่งออกไปให้ทุกเครื่องบนเครือข่ายรู้ และรับรองความถูกต้องของธุรกรรมการเงินนี้
  • นักขุด(Miner) มีหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัย และความถูกต้อง เราเรียกกระบวนการ Proof of Work นักขุดต้องเดาคำตอบของการถอดรหัส Hash Function ให้ได้ ระบบจะยึดคำตอบส่วนมากของเครือข่ายเป็นอันถูก และนักขุดได้รับรางวัลเป็นเงินดิจิตอลนั่นเอง

5.เงินดิจิทัลที่ ก.ล.ต. อนุญาตให้ซื้อ-ขายได้

  1. Bitcoin (BTC) 

เงินดิจิทัลสกุลแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา ในปี พ.ศ. 2552 จากโปรแกรมเมอร์ ที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto

ข้อดี

  • อิสระอย่างแท้จริงไม่ขึ้นกับรัฐบาลไหน
  • สามารถโอนเงินได้ ไม่กี่วินาที ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยมากๆ
  • มันมี Stock to Flow Ratio คือ มันเป็น สินทรัพย์ที่หายาก การผลิตหรืออุปทานสูงสุดแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น และปริมาณอุปทานใหม่ที่เข้าสู่ระบบจะลดลง ครึ่งนึงทุกๆ 210,000 Block หรือประมาณ 4 ปี
  1. Bitcoin Cash (BCH)

ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2560 โดยการแบ่งเครือข่าย และสร้าง Blockchain ขึ้นมาใหม่แยกออกจากระบบของเหรียญ Bitcoin(BTC) เพื่อแก้ปัญหาที่พบบนเหรียญ Bitcoin ที่การทำธุรกรรม ที่ค่อนข้างนานในการตรวจสอบ ทำให้ BCH มีการชำระเงินเร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า

  1. Ethereum (ETH)

Ethereum เป็นเครือข่ายระบบปฎิบัติการ หรือ Platform ที่ทำงานบน Blockchain

เป็นการรวมผู้ให้บริการ DeFi(Decentralized Finance) ซึ่ง Platform Ethereum จะขับเคลื่อนได้นั้น จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ซึ่งก็คือเงินสกุล Ether (ETH) นั่นเอง

  1. Ethereum Classic (ETC)

Ethereum ชุดเดิมนั้นถูก Hack และทางออกที่ดีก็คือการย้ายข้อมูล ไปไว้ที่ Blockchain ใหม่ เนื่องจาก Blockchain เดิมแก้ไขไม่ได้ จึงเกิดเป็น Ethereum Classic ส่วนใคที่ถือครอง ETH อยู่ก่อนแล้ว จะได้ ETC จำนวนเท่ากับที่ถือครอง ETH

  1. Litecoin (LTC)

เป็นเหรียญที่แตกออกมาจาก Bitcoin ในปี 2011 มีความแตกต่างทางเทคนิค ที่ให้มีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมการทำงานให้เร็วขึ้น เพื่อให้ใช้งานได้ทั้งบน คอมพิวเตอร์ มือถือ Wirex VISA Card

  1. Ripple (XRP)

ถูกสร้างด้วยบริษัท Ripple ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

  1. Stellar (XLM)

ถูกพัฒนาต่อมาจาก Ripple (XRP) ใช้สำหรับถ่าย โอน แลกเปลี่ยนกับสกุลเงินหลัก และรองรับการใช้งานของบุลคลทั่วไปที่โอนเงินจำนวนไม่มากนัก

6.สรุป

Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้มีการโอนสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โปร่งใส และไม่สามารถย้อนกลับได้ ที่บันทึกธุรกรรมระหว่างสองฝ่ายในลักษณะที่ตรวจสอบได้และถาวรโดยไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลางเช่นธนาคาร สกุลเงินดิจิตอลที่สามารถโอนย้ายบนบัญชีแยกประเภทนี้ก็มีการกระจายอำนาจเช่นกัน Blockchain ทำให้การทำธุรกรรมต่างๆ ง่ายขึ้นโดยไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์และหุ้นด้วยสกุลเงินดิจิทัล การลงคะแนนเสียงในการตัดสินใจด้วยโทเค็น หรือแม้แต่การลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งโดยใช้สัญญาอัจฉริยะ  เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ cryptocurrencies ได้นำไปสู่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเทคโนโลยีนี้ ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือเพื่อบริษัทของตน Blockchain มีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก และการรวมเข้ากับชีวิตประจำวันสามารถคาดหวังได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้าเช่นกัน

อนาคตของ Blockchain & Cryptocurrency นั้นสดใส นี่จะเป็นเทคโนโลยีที่ปฎิวัติวงการที่สุดนับตั้งแต่อินเทอร์เน็ต ด้วยเทคโนโลยีนี้ มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายรวมถึง

-Task อัตโนมัติ

– เพิ่มประสิทธิภาพในเวิร์กโฟลว์

– โมเดลธุรกิจที่ปรับขนาดได้สูง

– เครือข่ายกระจายอำนาจที่ให้ความโปร่งใสและไว้วางใจในการทำธุรกรรมทั้งหมด

– ลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม

– ความสามารถในการโอนมูลค่าไปทั่วโลกในไม่กี่วินาที

– ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ดีขึ้น

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *